ใบหน้าถือเป็นจุดเด่นที่ใครๆ ต่างก็หันมองเป็นอันดับแรก ต่อให้คุณดูแลผิวหน้าเป็นอย่างดี แต่หากคุณมีไขมันที่หน้าเยอะเกินไป ก็อาจมีผลทำให้ความมั่นใจในตัวเองลดลงได้ด้วยเช่นกัน และปัญหาดังกล่าวก็มีสาเหตุมาจาก 5 พฤติกรรมเสี่ยงที่คุณอาจเผลอทำโดยไม่รู้ตัว ในวันนี้หมอแวนด้าจะมาพูดถึงสาเหตุและวิธีแก้ปัญหากันค่ะ
5 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไขมันที่หน้าเยอะ
การรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นประจำ ทั้งอาหารทอด อาหารมัน หรือขนมหวาน แม้ว่าจะช่วยเพิ่มแคลอรี่ให้แก่ร่างกายได้ก็ตาม แต่หากคุณรับประทานเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญในแต่ละวัน พลังงานส่วนเกินจะถูกสะสมเอาไว้ในรูปแบบของไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและคาง
ส่วนการรับประทานอาหารที่มีโซเดียมเป็นประจำ เช่น อาหารเค็ม อาหารแปรรูป หรือของขบเคี้ยว จะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณมากและกักเก็บน้ำเอาไว้เพื่อรักษาสมดุลระหว่างโซเดียมและน้ำในเลือด และที่สำคัญยังก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงที่ทำให้หลอดเลือดบริเวณใบหน้าขยายตัว ใบหน้าดูบวม
นอกจากนี้ยังรวมไปการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วยนะคะ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป สมดุลของน้ำในร่างกายแอลกอฮอล์จะกระตุ้นการทำงานของไตและฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (ADH) ที่ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย ทำให้ร่างกายขับปัสสาวะมากขึ้นและเกิดการสูญเสียน้ำในร่างกายมากขึ้น หลังจากนั้นร่างกายจะตอบสนองด้วยการกักเก็บน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ส่งผลให้ใบหน้าบวมขึ้น อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังกระตุ้นการอักเสบบริเวณเนื้อเยื่อโดยรอบและขัดขวางการทำงานของระบบน้ำเหลืองที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ส่งผลให้ของเหลวส่วนเกินไม่ถูกขับออกไปและสะสมบนใบหน้า ที่สำคัญหากคุณดื่มแอลกอฮอล์ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูงเป็นประจำ จะกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันเพิ่มขึ้นจนไปรวมกันอยู่ตรงใบหน้าด้วย
หลายคนรู้ว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ละเลยหรือให้เวลากับการออกกำลังกายน้อยเกินไป เมื่อคุณไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง เนื่องจากร่างกายไม่ได้ถูกกระตุ้นให้ใช้พลังงานเท่าที่ควร ร่างกายจึงเก็บพลังงานส่วนเกินเอาไว้ในรูปแบบของไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงใบหน้าด้วย เนื่องจากใบหน้าของคนเรามีชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่สามารถสะสมไขมันส่วนเกินได้ โดยเฉพาะบริเวณแก้ม คาง และกราม ซึ่งเป็นจุดเด่นบนใบหน้า
นอกจากนี้การเคลื่อนไหวหรือออกแรงที่น้อยลง จะไปลดการทำงานของระบบน้ำเหลืองและระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย ร่างกายจึงขับไขมันส่วนเกินออกมาได้น้อย และที่สำคัญการไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อต่างๆ ไม่ได้ถูกฝึกและพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) จึงลดลงและเกิดการสะสมไขมันมากขึ้น
เมื่อเข้าสู่ภาวะความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย หากร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากเกินไปก็จะกระตุ้นการทำงานระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ส่งผลให้สมองอยู่ในภาวะตื่นตัว โดยมีอาการหัวใจเต้นเร็ว รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา สมองทำงานหนักแม้ในเวลาที่ควรผ่อนคลาย ซึ่งความเครียดจะไปรบกวนนาฬิกาชีวภาพ (Circadian Rhythm) ของร่างกาย ทำให้วงจรการนอนหลับและตื่นผิดปกติ เมื่อการนอนหลับของคุณไม่เพียงพอ จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ไม่เต็มที่ ระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองจึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพของระบบเผาผลาญพลังงานในร่างกายลดลง เกิดการสะสมของของเสียและของเหลวบริเวณใบหน้ามากขึ้นค่ะ
นอกจากพฤติกรรมเสี่ยงที่คุณทำเป็นประจำแล้ว ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจากปัญหาสุขภาพหรืออายุที่มากขึ้น ก็มีผลทำให้ใบหน้าของคุณดูบวมขึ้นได้เช่นกัน เนื่องจากฮอร์โมนบางชนิดมีผลต่อการควบคุมไขมัน การกักเก็บน้ำ และการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ได้แก่…
- ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
นอกจากภาวะความเครียดสะสมแล้ว ร่างกายยังกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลได้จากปัญหาสุขภาพหรือยารักษาโรคบางชนิดด้วย เช่น คอร์ติโคสเตียรอยด์และยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน โดยฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อการการกักเก็บน้ำและโซเดียมในร่างกาย ส่งผลให้ใบหน้าบวมขึ้น - ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง จึงมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเพศโดยรวมของผู้หญิง หากฮอร์โมนเอสโตรเจนไม่สมดุล เช่น ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน ที่ทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น หรือช่วงวัยหมดประจำเดือน ที่ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลต่อการกระจายไขมันภายในร่างกาย จนมีไขมันไปสะสมบริเวณใบหน้าและลำตัวมากขึ้น - ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)
เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการสะสมไขมัน หากฮอร์โมนอินซูลินไม่สมดุลจากภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ก็อาจทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแก้มและคาง - ฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroid Hormones)
เป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญของเซลล์ต่างๆ ระดับไขมันในเลือด ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หากฮอร์โมนไทรอยด์ไม่สมดุลจากภาวะความผิดปกติของต่อมใต้สมอง, การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพของการเผาผลาญลดลง ไขมันไปสะสมอยู่บนใบหน้ามากขึ้น - ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)
เป็นฮอร์โมนที่ช่วยส่งเสริมสมรรถภาพทางเพศ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดระดับไขมันสะสมในร่างกาย หากคุณมีระดับฮอร์โมนเพศชายที่ต่ำจากโรคเบาหวาน, เข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด, เคยผ่าตัดบริเวณขาหนีบ ก็อาจทำให้การสร้างกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้มีไขมันสะสมในร่างกายเพิ่มขึ้น - ฮอร์โมนเลปติน (Leptin)
เป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมความอยากอาหารและการเผาผลาญไขมันในร่างกาย หากร่างกายเกิดภาวะดื้อต่อฮอร์โมนเลปติน อาจทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นและรับประทานอาหารที่มากเกินความจำเป็น ส่งผลให้มีไขมันไปสะสมตามส่วนต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า
พันธุกรรมมีบทบาทต่อรูปร่าง การกระจายไขมัน และลักษณะใบหน้าในแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น มีโครงสร้างใบหน้าที่กว้างหรือมีแก้มกลม, มีกล้ามเนื้อใบหน้าใหญ่, มียีนที่ควบคุมการสะสมไขมัน ซึ่งมีผลต่อการจัดเก็บไขมันในแต่ละส่วนของร่างกาย, มีอัตราการเผาผลาญต่ำโดยธรรมชาติ, มีความผิดปกติของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมไขมันและการกักเก็บน้ำในร่างกาย เช่น เลปติน (Leptin) และอินซูลิน (Insulin) เป็นต้น หากคนในครอบครัวมีพันธุกรรมดังกล่าวก็อาจส่งต่อมายังลูกหลานได้ในอนาคต
ไขมันที่หน้าเยอะ บอกอะไรเรา
แม้ว่าบางคนจะมีใบหน้าอวบอิ่มจากพันธุกรรม แต่หากคุณมีไขมันบนใบหน้าเยอะ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, ความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวานชนิดที่ 2, โรคอ้วน รวมถึงปัญหาฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ไทรอยด์ต่ำ หรือระดับคอร์ติซอลที่สูง (Cushing’s Syndrome) นอกจากนี้ยังรวมไปถึงปัญหาเกี่ยวกับการกักเก็บน้ำบนใบหน้าที่เกิดจากการทำงานของไตผิดปกติ เช่น ภาวะไตวาย หรือโรคไตเรื้อรัง หรือปัญหาเกี่ยวกับโซเดียมและการขาดน้ำด้วยเช่นกัน หากไม่รีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างหรือรีบรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง ก็อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมได้ในระยะยาว
ไขมันที่หน้า ลดยังไงได้บ้าง

การออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ร่างกายแล้ว ยังกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและลดการสะสมของไขมันในร่างกายอีกด้วย สำหรับการออกกำลังกายที่ช่วยลดไขมันที่แนะนำจะเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise) เช่น การวิ่ง, การปั่นจักรยาน, การว่ายน้ำ, การเต้นแอโรบิก หรือจะออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) เพื่อลดไขมันและเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในระยะยาวก็ได้ค่ะ
นอกจากนี้หมอขอแนะนำให้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า (Facial Exercises) เช่น ท่าพองแก้ม, ท่ายกมุมปาก หรือท่ายืดคอ เพื่อเพิ่มความกระชับและลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังบนใบหน้าควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วยนะคะ
ร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อนประมาณ 7-8 ชั่วโมง เพื่อฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากในตอนนี้คุณยังน้อยกว่าช่วงเวลาที่บอกไป หมอขอแนะนำให้ปรับเวลานอนโดยด่วนค่ะ เริ่มจากการสร้างบรรยากาศให้น่านอน ด้วยการอาบน้ำอุ่นก่อนนอน ฟังดนตรีบำบัด นั่งสมาธิ นั่งหนังสือ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอกนิกส์ให้หมด รวมถึงจัดห้องไม่ให้มีแสงจากภายนอกส่องเข้ามาในห้อง นอกจากจะช่วยให้คุณนอนหลับง่ายขึ้นแล้ว การผ่อนคลายด้วยวิธีต่างๆ ยังช่วยบรรเทาความเครียดจากการทำงานหรือปัญหาอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย
ลดไขมันที่หน้าแบบเร่งด่วน มีวิธีไหนบ้าง
1. การดูดไขมันใบหน้า (Facial Liposuction)
เป็นการผ่าตัดลดเอาไขมันส่วนเกินออกจากใต้คางและลำคอส่วนบน โดยแพทย์จะเจาะช่องขนาดเล็กลงบนผิวหนังใต้คาง เพื่อใส่ท่อที่เชื่อมต่อกับเครื่องดูดไขมันและดูดไขมันออกมาผ่านแผล บางแห่งอาจใช้เครื่องมือที่ส่งคลื่นอัลตร้าซาวน์เข้าไปสลายเซลล์ไขมันร่วมกับการดูดไขมันด้วย แม้จะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไขมันบริเวณนั้นจะถูกกำจัดไปและไม่กลับมาเป็นได้อีก แต่อาจเกิดผลข้างเคียงหลังการรักษา เช่น อาการบวมช้ำ ผลลัพธ์ไม่สมบูรณ์ 100% ในบางกรณี รวมถึงการติดเชื้อจากการใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดพอ หรือติดเชื้อจากการดูแลแผลไม่ดีของคนไข้เอง
2. การใช้เลเซอร์ (Laser Treatment)
เป็นการปล่อยพลังงานเลเซอร์ในรูปแบบของแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะที่สามารถเจาะผ่านผิวหนังไปยังชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันใต้ผิวหนังแตกตัวและสลายออกไป โดยเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะถูกขับออกจากร่างกายทีละน้อยผ่านระบบน้ำเหลือง นอกจากนี้เลเซอร์ที่ใช้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง เพื่อให้ผิวกระชับ ดูเรียบเนียน สำหรับเลเซอร์ที่ใช้จะเป็นเลเซอร์ Laser Lipolysis (Laser-Assisted Liposuction) และ Non-invasive Laser Treatment (เลเซอร์ไร้การผ่าตัด) แม้จะเห็นผลลัพธ์ได้จริง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผลหลังการรักษา แต่คนไข้จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหลายๆ ครั้ง กว่าจะเห็นผล และหากคนไข้ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ก็อาจกลับมามีไขมันที่หน้าได้อีกครั้ง
3. การร้อยไหม (Thread Lifting)
เป็นการใช้ไหมรูปทรงพิเศษ (มีปุ่มเล็กๆ หรือมีเส้นขนานที่ช่วยดึงผิวขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ) สอดเข้าไปใต้ผิวหนังในตำแหน่งที่มีไขมันเพื่อกระตุ้นการยกผิวและช่วยลดไขมันในบริเวณนั้นๆ หลังจากการร้อยไหมเสร็จจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เพื่อยกกระชับผิวและลดการหย่อนคล้อย ซึ่งเส้นไหมที่ใช้จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาไหมออก แม้จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษาและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ถาวร อยู่ได้เพียง 1-2 ปีเท่านั้น กรณีที่คุณมีไขมันบนใบหน้ามากเกินไปก็อาจต้องรักษาด้วยวิธีอื่นแทน และที่สำคัญการร้อยไหมอาจสร้างความเจ็บปวดบนใบหน้าได้อีกด้วยค่ะ
ไขมันที่หน้าเยอะ รักษาวิธีไหนดีสุด
EndoliftX Laser Fiber จาก Dr.Vanda Aesthetic Clinic เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้สำหรับการกระชับผิวและการปรับรูปหน้าจากภายในโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้เลเซอร์ชนิดไฟเบอร์ออปติกที่มีขนาดเล็กมากสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังเพื่อสร้างความร้อนชั้นใต้ผิวหนังและกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนเก่าและเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยสลายไขมันใต้ผิวหนังไปในตัว และที่สำคัญยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดใต้ผิวหนัง ส่งผลให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้น ผิวดูกระชับขึ้น และที่สำคัญแสงเลเซอร์ที่ใช้จะเป็นแบบเฉพาะเจาะจง จึงมอบผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติทันทีหลังการรักษา
สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของแผลเป็นหลังการรักษา หมอแวนด้าขอยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่มีแน่นอนค่ะ เนื่องจากการทำ EndoliftX ไม่ใช่การผ่าตัด เป็นเพียงการใส่เส้นใยไฟเบอร์ที่บางเฉียบเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังผ่านรูเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นอกจากจะมอบผลลัพธ์ที่แม่นยำแล้ว ยังลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง หลังการรักษาคนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยค่ะ ที่สำคัญคนไข้จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา ไม่ต้องใช้เวลารอผลลัพธ์เหมือนกับหลายๆ วิธี และผลลัพธ์จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังการรักษาเนื่องจากมีการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่เข้าไปแล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: EndoliftX Laser Fiber
