ปัญญาเรื่องหลุมสิวที่แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่ก็สร้างความลำบากกวนใจจนเรื่องเล็ก ๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ แม้ว่าในบางคนอาจจะรู้สึกว่า “หลุมสิว” นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรเนื่องจากสามารถหายไปได้เองตามลักษณะของหลุมสิวตื้นที่เพียงแค่ดูแลผิวให้ดี ๆ รอยหลุมสิวก็จะค่อยๆ จางหายไปเอง
แต่ในบางครั้งบางคนที่หลุมสิวอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อความมั่นใจได้ เพราะหลุมสิวลึกที่ทำร้ายลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) เป็นหลุมสิวชนิดที่รักษายาก และอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์เท่านั้น ซึ่งวันนี้หมอแวนด้าจะมีข้อมูลมาเล่าให้ฟังว่า หลุมสิวนั้นเกิดจากอะไร? และวิธีรักษาหลุมสิวแต่ละแบบ มีวิธีไหนที่ได้ผลรวดเร็วและปลอดภัยมีข้อมูลมาฝากกันค่ะ
หลุมสิวเกิดจากอะไร ?
หลุมสิวเกิดจากสิวอักเสบที่สร้างความเสียหายให้แก่คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ตามกระบวนการฟื้นฟูผิวของร่างกายโดยทั่วไปแล้วจะสมานแผลด้วยการสร้างเซลล์ผิวหนังบริเวณที่เกิดแผล แต่หากเป็นบริเวณที่เป็นสิวอักเสบรุนแรงซึ่งมีสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินไปบางส่วน ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้มีผลต่อการสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์จนเกิดเป็นหลุมสิวขึ้นมา
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เกิดหลุมสิวจะมาจากพันธุกรรมจากคนในครอบครัวที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากกว่าคนทั่วไป, การดูแลผิวหน้าแบบผิดวิธี เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันในการทำความสะอาดผิวหน้า การล้างหน้าแรงเกินไปจนผิวนระคายเคือง, การอยู่พื้นที่กลางแจ้งเป็นประจำ จนรังสี UV เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว
วิธีรักษาหลุมสิว มีกี่แบบ เหมาะกับหลุมสิวแบบไหนบ้าง

( Rolling Scar )

( Boxcar Scar )

( Ice Pick Scar )
1. การใช้ครีมหรือเซรั่มบำรุงผิว
ในขั้นตอนการรักษาหลุมสิวแบบสะดวก รวดเร็ว และสามารถทำได้เองที่บ้าน หลายคนมักจะนึกถึงก็คือการใช้สารบำรุงผิวนั่นเอง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ในท้องตลาด ซึ่งสามารถเลือกรูปแบบสารบำรุงนั้น ๆ ตามที่เหมาะสมกับผิวของทุกคนได้เลยค่ะ จะเป็นครีมหรือเซรั่มบำรุงผิวก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่สารบำรุงในสกินแคร์เหล่านี้จะคุณสมบัติเบื้องต้นที่สามารถช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิว, เพิ่มการสร้างคอลลาเจนในหลุมสิว และการลดการอักเสบของสิว และในบางสูตรอาจเพิ่มคุณสมบัติที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ผิวมีความกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย
ซึ่งหมอแวนด้าเห็นด้วยมาก ๆ เลยนะคะที่จะสนับสนุนให้ทุกคนใช้สารบำรุงผิวเป็นประจำ แต่ว่าอาจจะต้องอธิบายก่อนว่า การที่จะใช้สารบำรุงผิวทุกชนิดนั้น จะต้องอาศัยความทาอย่างอดทนและต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ถึงจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลง สำหรับครีมหรือเซรั่มบำรุงผิวที่จะช่วยรักษาหลุมสิวได้ จะต้องมีส่วนผสมของสารต่างๆ ดังนี้…
มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูผิว ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเร่งการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ให้เร็วขึ้น ปรับสภาพสิวโดยรวมให้ดีขึ้น ผิวดูเรียบเนียน หลุมสิวดูตื้นขึ้น อีกทั้งป้องกันการอุดตันของรูขุมขน ลดโอกาสเกิดสิวใหม่
มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้ผิวฟื้นฟูเร็วขึ้น ลดการผลิตเมลานิน (Melanin) ทำให้รอยดำจากสิวจางลง ลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่
มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเร่งการเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวและลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบ รวมถึงขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขน จึงช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิว
มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้นและลดระดับความลึกของหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ช่วยสมานแผลที่ได้รับความเสียหายจากสิว ทำให้แผลหายไวขึ้น อีกทั้งช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองที่ก่อให้เกิดหลุมสิว
คำแนะนำ : ข้อนี้สำคัญที่สุด บางผลิตภัณฑ์อาจมีส่วนผสมบางชนิดที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวแห้งมาก หรือผิวมันมาก ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวของเราเท่านั้น และการรักษาหลุมสิวด้วยการทาสารบำรุงผิวที่เห็นผลได้ดีในกลุ่มคนที่มีปัญหาหลุมสิวแบบตื้นเท่านั้น
2. การฉีดสารเติมเต็ม
การฉีดสารเติมเต็มถือเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีปลอดภัยสูง และที่สำคัญสารเหล่านี้จะสลายตัวไปเองตามธรรมชาติภายใน 6-12 เดือน โดยสารเติมเต็มที่นิยมนำใช้เป็นส่วนช่วยให้หลุมสิวที่ลึกกลับมาตื้นขึ้นจะมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฟิลเลอร์ (Filler) และ PRP (Platelet Rich Plasma) ซึ่งทั้งสองชนิดมีความแตกต่างกัน ดังนี้…
คำแนะนำ ถึงแม้ว่าการใช้สารเติมเต็มจะสามารถช่วยเติมหลุมสิวได้ง่าย รวดเร็ว ช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง และเหมาะกับหลุมสิวทุกประเภท แต่คนไข้จะต้องรักษาการรักษาด้วยวิธีนี้อย่างสม่ำเสมอเพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้
3. การขัดผิว (Dermabrasion)
การขัดผิวเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรง ซึ่งวิธีนี้จะแตกต่างกับการขัดผิวด้วยสครัปแบบี่ทำกันทั่วไปที่บ้าน แต่จะเป็นการขัดผิวแบบที่ใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่มีชื่อว่า “เครื่อง Dermabrasion” วิธีการรักษาคือจะนำเครื่องชนิดนี้มาค่อย ๆ ขัดผิวชั้นนอกออกใช้ระยะเวลารักษาประมาณ 15-30 นาที แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่…
คำแนะนำ วิธีนี้อาจมีผลข้างเคียงหลังขัดให้ผิวบริเวณนั้น ๆ บวมแดงเล็กน้อย แต่ว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์พร้อม ๆ กับบริเวณหลุมสิวที่ทำการรักษาจะค่อย ๆ ตื้นแลดูเรียบเนียนขึ้น เพียงแต่แม้จะเห็นผลลัพธ์จริง แต่วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย เพราะการขัดผิวจะทำให้ทำให้ผิวหน้าบางลงและเกิดการระคายเคืองง่ายขึ้น

4. การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels)
เป็นวิธีการรักษารูปแบบหนึ่งที่จะมีการใช้สารเคมี ได้แก่ TCA (Trichloroacetic Acid Cross), AHA (Alpha Hydroxy Acids), กรดซาลิซิลิก (Salicylic Acid) มาช่วยปรับปรุงสภาพผิวที่มีหลุมสิวให้กลับมาเรียบเนียนขึ้น ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยเรื่องหลุมผิวแล้ว ยังช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ปรับสภาพผิวให่กระจ่างใสเท่ากัน ช่วยลดเรื่องจุดด่างดำกวนใจ และยังมีส่วนช่วยเรื่องริ้วรอยตื้น ๆ กระชับรูขุมขนได้ด้วย
แต่ว่าถึงจะเป็นวิธีที่เหมาะกับการรักษาหลุมสิวระดับกลาง (Boxcar) และระดับลึก (Ice Pick) แต่หมอแวนด้าไม่แนะนำสำหรับผู้ที่ปัญหาผิวแพ้ง่ายนะคะ เพราะการใช้สารเคมีลงไปบนใบหน้านั้น เสี่ยงเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อผิว และยังต้องดูแลผิวมากกว่าปกติมาก ๆ เลยค่ะ ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการขัดผิว ถูหน้าแรง ๆ แกะ เกาบริเวณใบหน้า เพราะอาจเกิดการระคายเคือง เป็นฝ้าง่าย เสี่ยงผิวหนังอักเสบที่อาจร้ายแรงถึงการติดเชื้อ เป็นด่างขาวหรือผิวคล้ำลงจากสารเคมี รวมถึงมีปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่น มะเร็งผิวหนัง กระดูกผุกร่อน
5. การเซาะพังผืด (Subcision)
วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวด้วยการใช้เข็มทางการแพทย์เข้าไปตัดพังผืดที่ดึงรั้งระหว่างชั้นผิวให้เกิดช่องว่างใต้ชั้นผิว และจากนั้นก็เติมสารเติมเต็มลงไปเพื่อเติมช่องว่างนั้น ๆ และกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยฟื้นฟูปัญหาหลุมสิวได้หลายแบบ แต่ยังช่วยปรับผิวหน้าที่อาจมีปัญหาขรุขระไม่เรียบเนียนให้กลับมาดูสวยงามเรียบเนียนขึ้นได้อีกด้วย
ซึ่งข้อจำกัดของการรักษาแบบการเซาะพังผืดอันนี้ก็คือ ผิวอาจจะมีการบวมช้ำหลังทำการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับคนไข้อาจจะต้องลางานสำหรับพักฟื้นผิวใบหน้า และต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ต่อผิวที่อาจส่งผลต่อการก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น การจับ แกะ เกา เป็นต้น
6. การฉีดเมโสหลุมสิว (Mesotherapy)
เป็นการฉีดสารบำรุงผิว ยกตัวอย่าง ไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid), วิตามิน, เปปไทด์ ฯลฯ เข้าไปในชั้นผิวหนังเฉพาะจุดที่มีหลุมสิว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง อิ่มน้ำ ช่วยลดรอยแดงและช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นในขั้นตอนเดียวกัน วิธีนี้เหมาะสำหรับหลุมสิวตื้นถึงระดับตื้นถึงระดับปานกลางอย่าง Rolling Scar และ Boxcar Scar แม้จะช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการรักษา
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลเร็วทันใจ แต่ว่าไม่ใช่วิธีที่ให้ผลแบบถาวรนะคะ เพราะส่วนประกอบที่เติมเข้าไปสามารถสลายตัวเองได้ตามกาลเวลา อยากต้องการให้ผลลัพธ์สวยนานก็ต้องกลับมาหาเติมซ้ำ หรือรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วย
7. การทำเลเซอร์ (Acne Scars Laser)
เป็นการยิงพลังงานเลเซอร์เข้าไปยังชั้นผิวที่เกิดหลุมสิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่เพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น สำหรับเครื่องเลเซอร์ที่นิยมใช้จะมีทั้ง Pico Laser, Fractional CO2 Laser, Erbium YAG Laser และ Non-ablative Laser เช่น Fraxel การทำเลเซอร์หลุมสิวมีข้อดีในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในระยะยาว จึงช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส ช่วยเติมหลุมสิวให้กลับมาเต็มได้เมื่อเข้ารับการรักษาครบกำหนด และสามารถให้ผลลัทธ์ที่สวยทนคงนานได้
แต่ว่ากว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจคนไข้จะต้องเข้ารับการรักษาอย่างน้อย 3-5 รอบกว่าจะเริ่มเห็นผล และระหว่างการรักษาก่อนครบกำหนดยังต้องดูแลผิวอย่างพิถีพิถันเพื่อป้องกันผลข้างเคียงหลังการรักษา เช่น อาการผิวไหม้ เกิดรอยดำ หรือในกรณีของการทำ Fractional CO2 Laser อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน การทำเลเซอร์เหมาะสำหรับหลุมสิวแบบ Rolling Scar และ Boxcar Scar หากต้องการรักษาหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar จำเป็นจะต้องรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไปด้วยจะให้ผลลัทธ์ที่ดีกว่าค่ะ
วิธีรักษาหลุมสิว วิธีไหนดีสุด
หากคุณกำลังประสบปัญหาหลุมสิว Rolling Scar Acne หมอแวนด้าขอแนะนำให้รักษาด้วย EndoliftX Light Scan เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ยิงพลังงานแบบ External Laser Improving Skin Quality ที่มีความยาวคลื่น 1470 nm. เพื่อส่งพลังงานเลเซอร์ลงบนผิวหนังโดยตรง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน และที่สำคัญเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้มาพร้อมกับหัวเลเซอร์แบบมือจับ (Handpiece) ที่ถูกออกแบบมาสำหรับชั้นผิวและชั้นไขมันโดยเฉพาะ จึงช่วยรักษาปัญหาสิวและริ้วรอยได้อย่างตรงจุด (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล)
แต่ในกรณีที่คุณมีปัญหาหลุมสิว Box Scar Acne และ Ice Pick Acne Scar หมอแวนด้าขอแนะนำให้รักษาด้วย EndoliftX Laser Fiber เพื่อใช้เส้นไฟเบอร์ในการตัดพังผืดที่อยู่ใต้ชั้นผิวออกก่อน จากนั้นค่อยฟื้นฟูหลุมสิวโดยใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษ EndoliftX Light Scan เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินบริเวณผิวหนังบริเวณหลุมสิว เพื่อสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่และเติมหลุมสิวให้เต็ม ช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้อีกครั้ง
สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของแผลเป็นหลังการรักษา หมอแวนด้าขอยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่มีแน่นอนค่ะ เนื่องจากการทำ EndoliftX ไม่ใช่การผ่าตัด เป็นเพียงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังผ่านรูเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นอกจากจะมอบผลลัพธ์ที่แม่นยำแล้ว ยังลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียง หลังการรักษาคนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยค่ะ ที่สำคัญคนไข้จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา ไม่ต้องใช้เวลารอผลลัพธ์เหมือนกับหลายๆ วิธี และผลลัพธ์จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังการรักษาเนื่องจากมีการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่เข้าไปแล้ว
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: EndoliftX Light Scan


( รีวิว EndoliftX จาก Dr.Vanda Aesthetic Clinic )