ถุงใต้ตา เกิดจากอะไร อันตรายไหม ดูแลอย่างไรไม่ให้กลับมาอีก

“เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” แต่ว่าคงไม่ดีแน่ ๆ ถ้าต้องหลบสายตาทุกครั้งที่มีคนสบสายตาเพราะปัญหาถุงใต้ตาหมองคล้ำจนสูญเสียความมั่นใจ แม้ว่าการเกิดถุงใต้ตานั้น ๆ จะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดบริเวณใต้ตา แต่ก็มีผลทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย เวลาแต่งหน้าก็ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูโทรมไปมากกว่าเดิม ว่าแต่ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากอะไร เป็นอันตรายต่อร่างกายไหม แล้วควรดูแลอย่างไรไม่ให้กลับมาเป็นอีก หมอแวนด้ามีข้อมูลมาฝากกันค่ะ

ถุงใต้ตา คืออะไร

เป็นภาวะบวมและหย่อนคล้อยใต้ดวงตาที่เกิดจากสะสมของไขมันหรือของเหลวใต้ตา ทำให้ขอบตาล่างนูนหรือบวมออกมา บางคนอาจมีอาการบวมเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่มักบวมจนเห็นได้ชัด ยิ่งมีอายุมากขึ้น ถุงใต้ตาก็ปรากฎเด่นชัดมากขึ้น โดยทั่วไปมักพบได้ในผู้สูงอายุ แต่ถึงอย่างไรก็ตามภาวะดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทั้งจากภายนอกและภายในร่างกายค่ะ

ถุงใต้ตาเกิดจากอะไร และถุงใต้ตามีกี่แบบ

1. ถุงใต้ตาชั่วคราว ( Temporary Under-Eye Bags )

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นในระยะสั้นที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่สมดุล เช่น นอนน้อย ดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ หรือปัญหาภูมิแพ้ หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือรักษาโรคภูมิแพ้ได้แล้ว ถุงใต้ตาก็จะหายไปค่ะ

2. ถุงใต้ตาถาวร ( Permanent Under-Eye Bags )

เป็นถุงใต้ตาที่เกิดขึ้นจากอายุที่มากขึ้นหรือเกิดจากพันธุกรรมที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันใต้ตา ต่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใต้ตาเป็นอย่างดี จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์เท่านั้น

ถุงใต้ตา เกิดจากอะไร

ร่างกายของคนเราจะเริ่มผลิตคอลลาเจนลดลงตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไป เมื่อผิวหนังรอบดวงตามีปริมาณคอลลาเจนน้อยลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่รองรับบริเวณใต้ตาเสื่อมสภาพและหย่อนคล้อยจนโครงสร้างผิวไม่แข็งแรงพอที่จะพยุงไขมันใต้ตาเอาไว้ นอกจากผิวแล้ว ยังรวมไปถึงการเสื่อมของกระดูกใบหน้าที่มากขึ้น ทำให้กระดูกเบ้าตาและโหนกแก้มยุบตัวลงจนเห็นถุงใต้ตาชัดขึ้น

หากคุณพักผ่อนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก (SNS) มากเกินไปจนทำให้หลอดเลือดหดตัว อีกทั้งกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) มากขึ้น ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ส่งผลโดยรวมให้ประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนเลือดลดลง นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด ส่งผลให้หัวใจเหนื่อยล้าและส่งเลือดไปเลี้ยงใต้ตาได้ไม่เต็มที่ รวมถึงระบบน้ำเหลืองที่ได้รับผลกระทบจากการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี จึงเกิดการสะสมของเหลวบริเวณใต้ตาและเห็นเป็นถุงใต้ตา

เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจะหลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) ที่กระตุ้นการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยและเกิดการอักเสบบริเวณใต้ตา อีกทั้งรบกวนการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและระบบน้ำเหลืองใต้ตา จนเกิดการสะสมของเหลวในเนื้อเยื่อรอบดวงตา นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดอาการคันดวงตาที่ทำให้คุณต้องเกาหรือถูดวงตามากกว่าปกติ ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกหรือเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวใต้บวมและคล้ำขึ้น

การสูบบุหรี่เป็นประจำและการดื่มแอลกอฮอล์บ่อยเกินไปก็ทำให้มีถุงใต้ตาได้เช่นกันค่ะ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะก่อให้เกิดการสะสมของสารพิษจำนวนมากในร่างกาย โดยเฉพาะสารนิโคติน และ อนุมูลอิสระ (Free radicals) ที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังใต้ตาสูญเสียความยืดหยุ่น และที่สำคัญนิโคตินในบุหรี่ยังทำให้หลอดเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังผิวหนัง ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดการสะสมของของเหลวบริเวณใต้ตา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการบวมใต้ตา

การดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ จะทำให้ร่างกายขาดน้ำและกระตุ้นให้เกิดการสะสมของเหลวในใต้ตา เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ ซึ่งจะไปเร่งกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหนังใต้ตาอ่อนแอและหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากจะไปลดคุณภาพการนอน เนื่องจากแอลกอฮอล์จะกระตุ้นการผลิตอะดีโนซีน (Adenosine) เพื่อทำให้รู้สึกง่วงในช่วงแรก แต่หากระดับอะดีโนซีนลดลงอย่างรวดเร็ว อาจทำให้คุณสะดุ้งตื่นกลางดึกและหลับต่อยาก ซึ่งการนอนหลับไม่เต็มอิ่มจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดและการฟื้นฟูผิวหนังไม่เต็มประสิทธิภาพและเกิดถุงใต้ตาตามมาได้ค่ะ

หากคุณได้รับพันธุกรรมจากคนในครอบครัวที่ทำให้ระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ จะทำให้ไขมันสะสมอยู่บริเวณใต้ตามากเกินไปและเกิดอาการบวมใต้ตาได้เช่นกันค่ะ บางคนอาจมีพันธุกรรมที่มีความหนาและความยืดหยุ่นของผิวหนังต่ำ บางคนอาจมีพันธุกรรมที่มีความสามารถในการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินน้อยกว่าคนทั่วไป หรือบางคนอาจมีการหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อบริเวณใต้ตามากกว่าปกติก็ได้เช่นกัน

หากคุณป่วยเป็นโรคเรื้อรังบางอย่าง ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเป็นปัญหาถุงใต้ตา ได้แก่ โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวานโรคน้ำเหลืองไม่ดี รวมถึงโรคไทรอยด์อย่างโรคฮอรไฮด์ (Hypothyroidism) หรือ โรคเกรฟส์ (Graves’ Disease)

ถุงใต้ตา อันตรายไหม

ไม่อันตรายค่ะ เพียงแต่จะมีผลทำให้ใบหน้าดูแก่ลง ยิ่งถ้าแต่งหน้าเข้มเกินไป ก็ยิ่งเสริมให้ใบหน้าของคุณดูแก่กว่าวัยได้ด้วยค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามหากคุณปวดบวมบริเวณถุงใต้ตา หรืออาการบวมขยายใหญ่มากกว่าเดิม นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ หรือการติดเชื้อบริเวณรอบดวงตา จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทันที

ถุงใต้ตา แก้ยังไงได้บ้าง

กรณีที่ถุงใต้ตาเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง แนะนำให้ปรับพฤติกรรมเหล่านั้นก่อน เริ่มจากการงดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ และปรับเวลานอนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้แนะนำให้ประคบเย็นด้วยถุงน้ำแข็งและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของเรตินอล หรือเปปไทด์ เพื่อบรรเทาอาการบวมใต้ตาร่วมด้วยค่ะ

เป็นการตัดไขมัน ของเหลว และผิวหนังใต้ตาที่หย่อนคล้อยออก แล้วใช้ไหมขนาดเล็กมากเย็บปิดแผลโดยซ่อนแผลเอาไว้ใต้รอยพับของขอบตาล่าง ซึ่งจะช่วยให้ผิวใต้ตากระชับขึ้น ดวงตาดูสดใส อ่อนเยาว์ แม้จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่อาจมีผลข้างเคียงตามมา เช่น มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากแผลผ่าตัด มองเห็นไม่ชัด ควบคุมกล้ามเนื้อตาได้ไม่ดี บางรายอาจปวดแสบปวดร้อนหรือมีไข้ที่เกิดจากการติดเชื้อร่วมด้วย

เป็นการฉีดสารเติมเต็มไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปใต้ตา เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวใต้ตา ส่งผลให้ถุงใต้ตาที่เคยหย่อนคล้อยกลับมากระชับ แม้จะเห็นผลทันทีหลังการรักษา ไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดเข้าช่วย แต่ฟิลเลอร์เป็นสารที่สายไปเองตามธรรมชาติ คนไข้จำเป็นต้องกลับเข้ามาฉีดซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้ อีกทั้งไม่เหมาะสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่ายแต่หยุดไหลยาก ผู้ที่แพ้สารไฮยาลูรอนิค แอซิด ผู้ป่วยโรคติดต่อบริเวณใต้ตา รวมถึงผู้ที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่และมีใต้ตาหย่อนคล้อยรุนแรงที่อาจทำให้ฟิลเลอร์จับตัวเป็นก้อน

เป็นการใช้เครื่องเลเซอร์ยิงพลังงานเข้าไปยังชั้นผิวหนังเพื่อทำให้เกิดความร้อนที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ในผิวชั้นลึก ช่วยยกกระชับผิวรอบดวงตาโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองตามมา ถุงใต้ตาเรียบเนียนขึ้น สำหรับเครื่องเลเซอร์ที่นิยมใช้จะเป็นเครื่องประเภท Fractional Laser เช่น CO2 หรือ Erbium YAG และเครื่องประเภท Non-Ablative Laser เช่น Nd:YAG หรือ Fraxel วิธีนี้อาจช่วยลดถุงใต้ตาได้ แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาจากไขมันส่วนเกิน อาจใช้เวลาพักฟื้นนานในคนไข้บางราย รวมถึงต้องทำซ้ำหลายรอบกว่าจะเห็นผล

ถุงใต้ตา รักษาวิธีไหนดีสุด

จริงอยู่ที่ทั้ง 4 วิธีที่แนะนำไปจะเห็นผลลัพธ์ได้จริง แต่บางวิธีก็อาจมีผลข้างเคียงหลังการรักษา ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณหนึ่งกว่าจะกลับมามองเห็นได้ 100% หรือบางวิธีก็ต้องทำซ้ำๆ กว่าจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ หมอแวนด้าเลยจะมาแนะนำอีกหนึ่งวิธีที่นอกจากจะไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องพักฟื้น ทำเสร็จแล้วสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลย นั่นก็คือ EndoliftX Light Scan จาก Dr.Vanda Aesthetic Clinic

EndoliftX Light Scan เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ยิงพลังงานแบบ External Laser Improving Skin Quality ที่มีความยาวคลื่น 1470 nm. เพื่อส่งพลังงานเลเซอร์ลงบนผิวหนังโดยตรง จึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เครื่องเลเซอร์ชนิดนี้มาพร้อมกับหัวเลเซอร์แบบ Handpiece ที่ถูกออกแบบมาสำหรับชั้นผิวโดยเฉพาะ จึงช่วยยกกระชับถุงใต้ตาให้กลับมาเรียบเนียนได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและไม่ต้องการการพักฟื้นนาน

สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของแผลเป็นหลังการรักษา หมอแวนด้าขอยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่มีแน่นอนค่ะ เนื่องจากการทำ EndoliftX เป็นการใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ยิงลงไปบนผิวหนังและให้พลังงานที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงไม่สร้างบาดแผลหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงค่ะ นอกจากจะมอบผลลัพธ์ที่แม่นยำแล้ว ยังไม่ต้องพักฟื้นเหมือนการผ่าตัด หลังการรักษาคนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยค่ะ ที่สำคัญคนไข้จะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังการรักษา ไม่ต้องใช้เวลารอผลลัพธ์เหมือนกับหลายๆ วิธี และผลลัพธ์จะยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังการรักษาเนื่องจากมีการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่เข้าไปแล้ว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม: EndoliftX Light Scan

( รีวิว EndoliftX  จาก Dr.Vanda Aesthetic Clinic )

ทำไมต้อง EndoliftX Light Scan ที่ Dr.Vanda Aesthetic Clinic

ที่ Dr.Vanda Aesthetic Clinic ของเรานั้น นอกจากจะเป็นคลินิกที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้มาตรฐานและปลอดภัยแล้ว เรายังนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อให้บริการกับคนไข้ของเราทุกท่านเพื่อให้ผลลัพธ์ของทุก ๆ บริการเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดด้วย เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะดูแลทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการทุกท่านมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่ชัดเจนและปลอดภัยเมื่อให้เราดูแลค่ะ

OTHER ARTICLE

CELEBRATING BEAUTY , THE ART OF LIFE

In our pursuit of redefining beauty, we do not only transform appearances but also uplift spirits and inspire confidence for our valued patient.